LPN ปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ปี 60

LPN ปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ปี 60 ขยับจับลูกค้ากลาง-บน ดัน บ.ลูกรับงานนอกองค์กร

แอล.พี.เอ็น.ฯ เร่งปรับตัว-โครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ หลังต้นทุนที่ดินพุ่ง แบงก์เข้มปล่อยสินเชื่อหนัก หนี้ภาคครัวเรือนขยับขึ้นไม่หยุด ดันยอดปฏิเสธสินเชื่อลูกค้าตลาดล่างพุ่ง เผยปี 60 ขยับจับตลาดกลาง-บนมากขึ้น พร้อมลดสัดส่วนห้องชุดแบรนด์ลุมพินีวิลล์ เหลือ 20% ขยับเพิ่มแบรนด์ลุมพินีเพลส-ลุมพินีสวิท 80% เตรียมดัน “ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์” รับงานบริหาโครงการ-อาคาร พร้อมดึงจุดแข็งขยายไลน์ธุรกิจรับงานนอกองค์กร ปีหน้าเปิดโครงการใหม่ 11-12 โครงการ เน้นห้องชุดกลางเมืองราคา 50,000-150,000 บาทต่อ ตร.ม.

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า ปี 2560 จะเป็นปีที่ LPN ปรับตัวครั้งใหญ่ ทั้งในด้านการพัฒนาสินค้าให้สอดรับกับกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบันมากขึ้น และปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยจะมีการนำจุดแข็งของ LPN มาต่อยอด และขยายไลน์ธุรกิจในการให้บริการลูกค้าภายนอกองค์กรมากขึ้น เช่น การผลักดันบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด บริษัทลูกที่รับหน้าที่บริหารจัดการโครงการทั้งเก่า และใหม่ ทั้งหมดของ แอล.พี.เอ็น.ฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดแข็งของกลุ่มบริษัทฯ นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาผลักดันจุดแข็งอื่นๆ เพื่อออกไปสร้างรายได้ในอนาคต แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยทั้งหมดได้

ขณะที่ในส่วนของการปรับกลุ่มสินค้าในโครงการใหม่ๆ ให้สอดรับกับกำลังซื้อของลูกค้ามากขึ้นนั้น จะส่งผลให้ในปี 2560 ห้องชุดในโครงการใหม่ๆ มีระดับราคาสูงขึ้น โดยเน้นพัฒนาสินค้าที่จับกลุ่มตลาดกลาง-บนมากขึ้น ทำให้ต้องขยับทำเลเปิดโครงการเข้ามาพื้นที่กลางเมือง เพื่อไปจับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท คือ กลุ่มตลาดกลาง-ล่าง ประสบปัญหาในด้านการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ส่งผลให้ตัวเลขการถูกปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าในตลาดระดับล่าง มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นตามแนวโน้มการปรับตัวของหนี้ภาคครัวเรือน โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อัตราการปฏิเสธสินเชื่อในตลาดปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงก่อนหน้า

“นอกจากเรื่องสถาบันการเงินแล้ว ปัญหาการขยับขึ้นของราคาที่ดินอย่างรวดเร็ว ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ แอล.พี.เอ็น.ฯ ต้องหันไปจับตลาดที่สูงขึ้นกว่าในปัจจุบัน แผนก็คือ ในปีหน้าจะได้เห็นบริษัทขยับขึ้นไปพัฒนาห้องชุดระดับกลางบน ราคาขาย 40,000-50,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) ขึ้นไป จากเดิมที่เน้นพัฒนาห้องชุดระดับราคา 30,000-40,000 บาทต่อ ตร.ม. ซึ่งจะส่งผลให้ห้องชุดในกลุ่มราคา 30,000 บาทต่อ ตร.ม. ในพอร์ตในปีหน้าทยอยลดลง โดยมีที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปีหน้า ซึ่งสามารถพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในระดับราคา 50,000-150,000 บาทต่อ ตร.ม.ขึ้นไป แต่มีแปลงที่ดินเก่า 1 แปลงที่ยังพัฒนาห้องชุดในระดับราคาขาย 30,000 บาทต่อ ตร.ม.ได้

“ต้องยอมรับว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 59 ซบเซาตลาดทั้งปี โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 4 นี้ ถือว่าตลาดซึมหนักที่สุดในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา โดย LPN มียอดขายลดลงไปกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงปกติ ซึ่งมียอดขายต่อเดือนประมาณ 600-700 ล้านบาท ซึ่งมีผลทำให้ยอดขายสะสม หรือแบ็กล็อกในมือมีเพียง 3,000 ล้านบาท และคาดว่าจะทยอยรับรู้ทั้งหมดในปีนี้ ทำให้ในปีหน้าจะเป็นปีที่ LPN ต้องเร่งสร้างสต๊อก และยอดขายเพื่อเพิ่มยอดรับรู้รายได้ให้มากขึ้น การเร่งสร้างสต๊อกใหม่จะทำให้ในปีหน้า LPN ต้องนำจุดแข็งในเรื่องการสร้างโครงการเร็ว 1 ปีสร้างเสร็จกลับมาใช้อีกครั้ง”

สำหรับการขยับขึ้นไปจับตลาดกลาง-บนมากขึ้น จะทำให้มีโครงการเปิดใหม่ในแบรนด์ลุมพินีวิลล์ ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 20 ขณะที่แบรนด์ลุมพินีเพลส และลุมพินีสวีท จะถูกเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 80 ของมูลค่ารวมโครงการที่เปิดใหม่ อย่างไรก็ตาม LPN จะยังไม่กระโดดขึ้นไปจับตลาดบนระดับลักชัวรี หรือซูเปอร์ลักชัวรี ที่ทำราคาขาย 2 แสน หรือ 3 แสนบาทต่อ ตร.ม. แน่นอน เนื่องจากกลุ่มลูกค้า และฐานลูกค้าหลักของบริษัท คือ กลุ่มตลาดกลาง-ล่าง

นายโอภาส กล่าวถึงแผนการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2560 ว่า จะเร่งเปิดตัวโครงการใหม่ตั้งแต่ไตรมาสแรก เพื่อเร่งสร้างสต๊อกให้เร็วที่สุด โดยโครงการที่จะเปิดขายในไตรมาสแรก คือ โครงการที่มีการที่เลื่อนเปิดตัวในปีนี้ ทั้งนี้ ตามแผนเปิดใหม่รวม 11-12โครงการ แยกเป็นโครงการใน กทม. 10-11 โครงการ แบ่งเป็นระดับราคา 100,000 -150,000 บาทต่อ ตร.ม. จำนวน 7 โครงการ โดยมี 2 โครงการเป็นโครงการ Extra และโครงการระดับราคาขาย 50,000 ต่อ ตร.ม.ขึ้นไป มี 4โครงการ ส่วนในต่างจังหวัดมีเพียง 1 โครงการใน อ.ชะอำ ที่เลื่อนเปิดขายในปีนี้