นางวันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด(มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการร่วมมือกับ บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA ENCOM) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในการลงทุนพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์) ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ “อีอีซี” โดยมีเป้าหมายระยะแรกไม่น้อยกว่า 500 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ปี 2564-2569 มูลค่าการลงทุนกว่า 2.3 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ SPCG มีแผนจะขอรับการส่งเสริมการลงทุน หรือ “บีโอไอ” เพื่อรับสิทธิยกเว้นและลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยคาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จรวมอย่างน้อย 300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2564 และอีกไม่น้อยกว่า 200 เมกะวัตต์ ภายในปี 2569 โดยจะทยอยรับรู้รายได้ ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 64 เป็นต้นไป
สำหรับโครงการดังกล่าวจะเป็นการลงทุนผ่านบริษัท เซท เอนเนอยี จำกัด ที่ SPCG ถือหุ้นอยู่ 40% ร่วมกับบริษัท มิตซู เพาเวอร์ กรุ๊ป จำกัด ถือหุ้น 40% และ PEA ENCOM ถือหุ้น 20% ซึ่งการดำเนินการนี้จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 เมกะวัตต์ จากเดิมที่มีแผนดำเนินการไปแล้ว 500 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันได้มีการจ่ายไฟเชิงพาณิชย์แล้ว 330 เมกะวัตต์ และบริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ภายในปี 64-65 ว่าจะสามารถทำรายได้ประมาณ 6 -7 พันล้านบาทต่อปี
นางวันดี กล่าวต่อไปอีกว่า เงินลงทุน 2.3 หมื่นล้านบาทของโครงการนั้น ส่วนหนึ่งจะมาจากการระดมทุนประมาณ 5 พันล้านบาท โดยจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ ซึ่งคาดว่าจะทำได้สำเร็จ และในส่วนที่เหลือประมาณ 1.7 – 1.8 หมื่นล้านบาท จะมาจากการกู้เงิน โดยโครงการนี้จะเน้นลงทุนในพื้นที่ใกล้กับสายส่งของ กฟภ. เพื่อให้ง่ายต่อการจ่ายไฟ โดยส่วนใหญ่จะเป็นโซลาร์ฟาร์มที่ใช้พื้นที่แห่งละ 50-100 ไร่ กำลังการผลิตอยู่ที่ 30-50 เมกะวัตต์ต่อจุด
“ยอมรับว่าพื้นที่แถวนั้นราคาเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ด้วยสถานการณ์ของ โควิด-19 ที่ผ่านมาส่งผลให้ราคาที่ดินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจากการประเมินราคาทั้งโครงการก็ได้รวมกับราคาที่ดินและการจัดการต่าง ๆ ไว้แล้วจึงมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมราคาและทำให้เกิดกำไรต่อผู้ถือหุ้นได้”
โครงการดังกล่าวดำเนินงานตามแผนการพัฒนาสิ่งแวดล้อมในการพัฒนาพื้นที่อีอีซีที่กำหนดสัดส่วนให้การใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อพลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้าจะอยู่ที่ 70:30% และปัจจุบันจากการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ 3 จังหวัดอีอีซีมีสัดส่วนอยู่ที่ 4,000 เมกกะวัตต์ ทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดหรือโซลาร์นั้นอยู่ที่ประมาณ 1,200 เมกะวัตต์ ในขณะที่ปี 2580 จะเติบโตไปอยู่ที่ 10,000 เมกะวัตต์ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะช่วยให้เกิดการจ้างงานกว่า 50,000 คน รวมถึงยังช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ไม่น้อยกว่า 11 ล้านตันคาร์บอน ภายในระยะเวลา 30 ปี หรือประมาณ 400,000 ตันคาร์บอนต่อปี
ขอบคุณข้อมูล : thansettakij
บ้านดี (Baan-D)
บ้านดีดอทคอม ศูนย์รวมข้อมูลบ้านและคอนโด พร้อมรีวิวเจาะลึกโครงการฯ วิเคราะห์ทำเลที่พักอาศัย และอัพเดทข่าวสารในแวดวงอสังหาฯ
“บ้านดี – สื่อกลางสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อและขายบ้าน รวมถึง อสังหาริมทรัพย์เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร”
บ้านดี (Baan-D)
บ้านดีดอทคอม ศูนย์รวมข้อมูลบ้านและคอนโด พร้อมรีวิวเจาะลึกโครงการฯ วิเคราะห์ทำเลที่พักอาศัย และอัพเดทข่าวสารในแวดวงอสังหาฯ
“บ้านดี – สื่อกลางสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อและขายบ้าน รวมถึง อสังหาริมทรัพย์เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร”
Copyright © 2018 Baan-D.com. All rights reserved.
Copyright © 2018 Baan-D.com. All rights reserved.